ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า “สำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2569 (ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล) ระหว่างวันที่ 18 – 23 พฤศจิกายน 2568” สรุปผลที่น่าสนใจได้ดังนี้

ของขวัญปีใหม่ในปี พ.ศ. 2569 ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 86.1 ต้องการให้รัฐบาล “แก้ปัญหาค่าครองชีพ” เช่น ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา เป็นต้น ในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมา การฟื้นฟูเศรษฐกิจ (ร้อยละ 39.7) แก้ปัญหาภาคเกษตร เช่น ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ปุ๋ยเคมีราคาแพง เป็นต้น (ร้อยละ 32.8) แก้ปัญหาหนี้สิน (ร้อยละ 32.7) และเพิ่อสวัสดิการต่าง ๆ เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ การรักษาพยาบาล เป็นต้น (ร้อยละ 29.5)



ความพึงพอใจต่อผลงานของรัฐบาล ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 24.0 มีความพึงพอใจต่อผลงานรัฐบาลเมื่อบริหารงานครบ 1 เดือน ในระดับมาก – มากที่สุด (มากร้อยละ 20.6 และมากที่สุดร้อยละ 3.4) ร้อยละ 52.4 พึงพอใจฯ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 18.8 พึงพอใจฯ ในระดับน้อย และร้อยละ 4.8 พึงพอใจฯ ในระดับน้อยที่สุด โดยประชาชนตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 34.5 พึงพอใจฯ ในระดับมาก – มากที่สุด ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่น ขณะที่กรุงเทพมหานครร้อยละ 11.0 พึงพอใจฯ ในระดับมาก – มากที่สุด ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าภาคอื่น



ความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานของรัฐบาล ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 23.1 มีความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานของรัฐบาลในระดับมาก – มากที่สุด (มากร้อยละ 19.7 และมากที่สุดร้อยละ 3.4) ร้อยละ 53.0 เชื่อมั่นฯ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 19.0
เชื่อมั่นฯ ในระดับน้อยและร้อยละ 4.9 เชื่อมั่นฯ ในระดับน้อยที่สุด โดยประชาชนตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 32.3 เชื่อมั่นฯ ในระดับมาก – มากที่สุด ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่น ขณะที่กรุงเทพมหานครร้อยละ 11.6 เชื่อมั่นฯ ในระดับมาก – มากที่สุด ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าภาคอื่น




รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์/โทรศัพท์ที่ประชาชนทราบ/รับรู้ข่าวสาร ประชาชนตัวอย่างมากกว่าร้อยละ 80 ทราบรูปแบบการหลอกลวงทางออนไลน์/โทรศัพท์ โดยรูปแบบการหลอกลวงทางออนไลน์/โทรศัพท์ที่ทราบ 2 อันดับแรก ได้แก่ หลอกลวงซื้อขายสินค้า/บริการออนไลน์ (ร้อยละ 97.5) และหลอกให้โอนเงิน
โดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงาน (ร้อยละ 97.4) การทราบช่องทางการแจ้งเรื่องการถูกหลอกลวงทางออนไลน์/โทรศัพท์ 5 อันดับแรก ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 89.7 ทราบช่องทางในการแจ้งเรื่องการถูกหลอกลวงฯ โดยช่องทางที่ทราบการแจ้งเรื่องการถูกหลอกลวงฯ 3 อันดับแรก ได้แก่ แจ้งตำรวจ ในสัดส่วนสูงสุด (ร้อยละ 80.0) แจ้งธนาคารหรือหน่วยงานให้ระงับ/อายัดบัตร (ร้อยละ 43.2) โทรสายด่วน 1441 (ร้อยละ 35.3) แจ้งกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน/ผู้นำชุมชน (ร้อยละ 25.4) และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ (ร้อยละ 15.8) การดำเนินการและได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 23.9 ดำเนินการและได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ร้อยละ 13.5 ดำเนินการและอยู่ระหว่างกระบวนการช่วยเหลือ และร้อยละ 62.6 ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ โดยสาเหตุที่ไม่ดำเนินการ 3 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่าความเสียหายน้อย(ร้อยละ 40.4) เสียเวลาในการดำเนินการ/กระบวนการทางกฎหมายล่าช้า (ร้อยละ 19.6) และขั้นตอนยุ่งยาก/ซับซ้อน (ร้อยละ 8.6)

เรื่องที่รัฐบาลควรดำเนินการเร่งด่วน 5 อันดับแรกในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงฯ พบว่า บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด ทั้งผู้กระทำความผิดและผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง (ร้อยละ 61.4) ให้ความรู้แก่ประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงออนไลน์ (ร้อยละ 61.0) เตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงออนไลน์/โทรศัพท์ให้แก่ประชาชน(ร้อยละ 59.8) ให้ความช่วยเหลือ/เร่งคืนเงินผู้เสียหายอย่างรวดเร็ว (ร้อยละ 51.5) และยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันทีเพื่อตัดเส้นทางการเงิน (ร้อยละ 42.1)ความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงฯ ของรัฐบาล ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 18.8 ระบุว่ามีความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงฯ ของรัฐบาล ในระดับมาก – มากที่สุด (มากร้อยละ 16.5 และมากที่สุดร้อยละ 2.3) ร้อยละ 48.0 เชื่อมั่นฯ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 26.1 เชื่อมั่นฯ ในระดับน้อย และร้อยละ 7.1 เชื่อมั่นฯ ในระดับน้อยที่สุด โดยประชาชนตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 28.7 เชื่อมั่นฯ ในระดับมาก – มากที่สุด ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่น

ผลการสำรวจที่ผมกล่าวไป ถือเป็นครั้งที่สองของโครงการ “Quick survey สำนักงานสถิติแห่งชาติ 4 เดือน (ต.ค. 68 – ม.ค. 69)” สำนักงานสถิติแห่งชาติยังมีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน อีก 2 ครั้งหลังจากนี้ สามารถติดตามผลสำรวจประจำเดือนได้ทางเว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ www.nso.go.th และทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ พิมพ์ NSOOFTHAILAND”
หมายเหตุ : การสำรวจครั้งนี้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีสัมภาษณ์ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งอาศัยอยู่ในครัวเรือนส่วนบุคคลทั่วประเทศ
จำนวนทั้งสิ้น 6,000 ราย ใช้แผนการสุ่มตัวอย่างแบบ Stratified Two – Stage Sampling เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนของประชาชนทุกภูมิภาค
ของประเทศ โดยกำหนดความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95.0