เรียบเรียงโดย: ดร.กิตติศักดิ์ เหมือนดาว อาจารย์สาขาอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต
การใช้หลักการทางนิติวิทยาศาสตร์มาปรับใช้เพื่อแก้ไขพฤติกรรม เด็กหัวร้อน ที่ใช้ความรุนแรงกับครูเป็นแนวทางที่น่าสนใจ และช่วยให้ผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และรอบด้านมากขึ้น โดยเปลี่ยนบทบาทจาก “ครูผู้ลงโทษ” มาเป็น “นักสืบ” ที่มุ่งมั่นค้นหาความจริง และต้นตอของปัญหา
การสืบสวน ที่เกิดเหตุ ครูควรเป็นนักสืบ ที่จริงใจ รวดเร็ว ที่ต้องเข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อเก็บข้อมูลหากครูจะแก้ไขพฤติกรรมเด็กหัวร้อนให้ได้ผล ก็ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างละเอียดไม่ตัดสินจากพฤติกรรมที่เห็นตรงหน้า แต่ต้องสืบค้นหาข้อมูลเบื้องลึก อย่างตรงไปตรงมา
สิ่งที่น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ที่หาได้ง่าย น่าจะหนีไม่พ้น พยานบุคคล ครูควรพูดคุยอย่างมีชั้นเชิงที่ชาญฉลาด (รู้ว่าอะไรที่ควรพูดหรือไม่) กับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวนักเรียนเอง เพื่อนในชั้นเรียน หรือผู้ปกครอง เพื่อเป้าหมายคือรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายมุมมอง เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในกระบวนการถัดไป
จากนั้นครูควรตรวจสอบวัตถุ หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เราจะเรียกกันว่า พยานวัตถุ เช่น ข้อความสนทนาวิดีโอในกล้องวงจรปิด และอื่นๆ ที่ครูสามารถหาได้ เพื่อทำความเข้าใจบริบทที่นำไปสู่เหตุการณ์
เมื่อครูสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ พยานหลักฐาน เรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปคือการนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อหาข้อเท็จจริง เรียกว่าวิเคราะห์ ข้อมูลเชิงลึกซึ่งครูนำข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆ มาเปรียบเทียบ และเชื่อมโยงกัน เพื่อค้นหาความผิดปกติหรือรูปแบบพฤติกรรมที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ เช่น นักเรียนอาจมีประวัติการถูกรังแกหรือไม่ มีปัญหาที่บ้านหรือไม่ หรือรวมถึงมีภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ได้รับการดูแลหรือควรตั้งสมมติฐานว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นักเรียนใช้ความรุนแรง เช่น อาจเกิดจากความเครียดสะสมการถูกตำหนิอย่างรุนแรง หรือการไม่ได้รับความสนใจ
เมื่อครูใช้หลักการทางนิติวิทยาศาสตร์ ช่วยรวบรวมหลักฐาน จนสามารถทราบปัญหาที่แท้จริงของเด็กจะช่วยให้ครูเข้าใจว่าอะไรคือ “แรงจูงใจ” ที่ผลักดันให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมดังกล่าว อาจเป็นความรู้สึกอับอาย ความโกรธ หรือความคับข้องใจที่ต้องการระบายออกมา ส่งผลให้ครูสามารถประเมินสภาพจิตใจและอารมณ์ของนักเรียนอย่างคร่าวๆ ได้ตรงจุดมากขึ้น เช่น มีภาวะความเครียด วิตกกังวลหรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ที่ควรได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญหรือไม่
ครูสามารถสรุปผล และ หาทางแก้ไขอย่างเป็นธรรม เมื่อได้ข้อมูล และข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนแล้วครูจะสามารถสรุปผล และหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม ซึ่งได้ผลดีมากกว่าการลงโทษตามความรู้สึก
ครูสามารถสื่อสารกับนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำความเข้าใจร่วมกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
ครูสามารถนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น การส่งนักเรียนเข้ารับคำปรึกษาทางจิตวิทยาการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนของครู หรือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้นักเรียนได้แสดงความรู้สึกโดยไม่ถูกตัดสิน
ครูจึงเป็นผู้ให้โอกาสนักเรียนได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคตการใช้หลักการทางนิติวิทยาศาสตร์ในการแก้ไขพฤติกรรมเด็ก จึงเป็นการเปลี่ยนแนวคิดจากการตัดสินอย่างฉับพลัน มาเป็นการ สืบสวนหาความจริงอย่างใจเย็น เพื่อที่จะเข้าถึง และช่วยเหลือเด็กได้อย่างถูกวิธี และยั่งยืน
ท้ายนี้ผู้เขียนพยายามสื่อสาร ให้ครูหรือผู้ใหญ่เห็นว่าการใช้หลักการทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อสืบค้นต้นตอของปัญหา ที่ส่งผลให้เด็กแสดงออกในพฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือเป็นปัญหาต่อสังคมส่วนรวม อย่างจริงใจ และตรงไปตรงมานี้ จะช่วยให้ปัญหาความรุนแรงหรือพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กลดลงได้ เพราะผู้ใหญ่จะสามารถเข้าถึงและช่วยเหลือเด็กได้อย่างตรงจุดและเป็นธรรม แทนที่จะเป็นการลงโทษที่อาจยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้นเด็กจะเข้าใจว่าผู้ใหญ่พยายามจะช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่จะลงโทษเด็กจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างเกราะกำบังที่ก้าวร้าวนั้น มาปกป้องตัวเองอีก เพราะครูจะเป็นมิตรที่จริงใจ ไม่ใช่คนแปลกหน้าในสายตาของเด็ก